ร้อยไหมคืออะไร แก้ไขปัญหาใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง

ร้อยไหมคืออะไร แก้ไขปัญหาใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับใครบ้าง

การร้อยไหมเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นวิธีการที่มักนิยมใช้ในการช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า นอกจากนี้ ยังนำมาใช้กับส่วนอื่นๆ ได้อีก หากต้องการทำความรู้จักกับการร้อยไหมให้มากยิ่งขึ้น บทความนี้จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการร้อยไหม ร้อยที่บริเวณใดได้บ้าง ช่วยแก้ปัญหาอะไร ราคาเท่าไร รวมถึงการเตรียมตัวก่อนทำ และอาการหลังทำที่พบได้ทั่วไปเพื่อการรับมือที่ถูกต้อง

ทำความรู้จัก ร้อยไหม คืออะไร

ร้อยไหม คือ การใช้ไหมละลายร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง โดยที่บริเวณผิวของเส้นไหมจะมีเงี่ยง หรือตะขอเกี่ยวขนาดเล็กมากอยู่ เมื่อร้อยไหมเข้าไปที่ผิวหนังเงี่ยงไหมจะไปเข้าเกี่ยวให้เนื้อเยื่อ หรือกล้ามเนื้อถูกดึงยกขึ้นตามแนวเส้นไหม ทำให้ผิวบริเวณนั้นถูกยกกระชับขึ้น ซึ่งการร้อยไหมถือว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมเสริมความงามที่ได้รับความนิยมในการช่วยทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัยโดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด

เทคนิคการร้อยไหม เหมาะกับใคร

การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวในด้านต่างๆ ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังมีความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ที่ต้องการยกกระชับผิวให้มีความเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์
  • ผู้มีปัญหาใบหน้าไม่ได้สัดส่วน ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวได้รูปแบบ V-shape
  • ผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ หรือแก้มห้อย มีความหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหนัง และต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ใช้การศัลยกรรมผ่าตัด

ประเภทการร้อยไหมที่นิยมในปัจจุบัน

การร้อยไหมในปัจจุบันมีหลายประเภทที่เป็นที่นิยม โดยแบ่งออกไปตามวัตถุประสงค์ และตามความต้องการในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป

การร้อยไหมจมูก

การร้อยไหมจมูกเป็นการการใช้ไหมละลายหลายเส้นร้อยเข้าไปตามแนวสันจมูก เพื่อช่วยปรับรูปหน้า เสริมจมูกให้ดูโด่ง ปลายจมูกดูพุ่งขึ้น พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินทำให้เนื้อเยื่อบริเวณสันจมูกคมชัดขึ้นได้ การร้อยไหมจมูกช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรง หรือเสริมจมูกให้สันดูคมชัด โด่งได้รูปมากขึ้น รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาปีกจมูกใหญ่ จมูกบานออก และต้องการให้จมูกดูเรียวเล็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด

ราคาเท่าไร

ราคาของการร้อยไหมจมูกขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ราคาโดยทั่วไป มีดังนี้

  • 6 เส้น ราคาประมาณ 9,000-10,000 บาท
  • 10 เส้น ราคาประมาณ 15,000 บาท

การร้อยไหมยกหางตา

การร้อยไหมยกหางตาเป็นการใช้ไหมละลายร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังบริเวณหางตา ช่วยให้หางตาดูกระชับ เต่งตึงขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสอ่อนกว่าวัย เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการหนังตา และหางตาตก ผิวบริเวณหางตา หนังตาหย่อนคล้อย มีริ้วรอยรอบดวงตา รอยตีนกา ใต้ตาหมองคล้ำ และมีถุงใต้ตา

ราคาเท่าไร

ราคาของการร้อยไหมยกหางตาขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ชนิดของไหม และเทคนิคในการร้อยไหมของแต่ละคลินิก ราคาโดยทั่วไป มีดังนี้

  • ไหมล็อค 4 เส้น ราคาประมาณ 6,000 บาท (ปกติเส้นละประมาณ 2,500 บาท)
  • ไหมมิ้นท์ (Mint Lift) 4 เส้น ราคาประมาณ 16,000 บาท (ปกติเส้นละประมาณ 6,000 บาท)
  • ไหมโครงตาข่าย (Tess Lift) 2 เส้น ราคาประมาณ 19,000 บาท (ปกติเส้นละประมาณ 10,000 บาท)

การร้อยไหมคอลลาเจน

การร้อยไหมคอลลาเจนเป็นการใช้ไหมละลายที่เป็นไหมเรียบ (Mono Threads) ซึ่งทำจากวัสดุ PDO, PLLA เส้นเล็ก โดยจะทำการร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินโดยเฉพาะ ช่วยแก้ปัญหาผิว ลดริ้วรอยตื้น ปัญหาหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้ามีความเรียบเนียน กระชับขึ้น มีความอิ่มฟู ยืดหยุ่นมากขึ้น และทำให้ผิวมีความแข็งแรงสุขภาพดี

ราคาเท่าไร

ราคาของการร้อยไหมคอลลาเจนขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ราคาโดยทั่วไป มีดังนี้

  • 20 เส้น ราคาประมาณ 3,000 บาท
  • 30 เส้น ราคาประมาณ 4,000 บาท
  • 40 เส้น ราคาประมาณ 5,000 บาท
  • 60 เส้น ราคาประมาณ 7,000 บาท

การร้อยไหมก้างปลา

การร้อยไหมก้างปลาเป็นการใช้เข็มปลายแหลมร้อยไหมละลายที่เป็นไหมก้างปลา โดยที่เงี่ยงหรือตะขอของไหมจะมีลักษณะบานออกจากแกนกลางในทิศทางซ้าย-ขวาสวนทางสลับกันคล้ายก้างปลา และเป็นเส้นไหมที่มีความยืดหยุ่นสูง นิยมร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อช่วยยกกระชับผิว ปรับรูปหน้า พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสตินของผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวขาดความกระชับ มีร่องแก้ม หรือมีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด และต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวชัด เป็น V-shape ดูมีมิติมากขึ้น

ราคาเท่าไร

ราคาของการร้อยไหมก้างปลาขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ชนิดของไหม และเทคนิคในการร้อยไหมของแต่ละคลินิก ราคาโดยทั่วไป มีดังนี้

ร้อยไหมก้างปลาชนิด PDO

  • 6 เส้น ราคาประมาณ 9,000 บาท
  • 10 เส้น ราคาประมาณ 13,000 บาท

ร้อยไหมก้างปลาชนิด PCL

  • 4 เส้น ราคาประมาณ 14,000 บาท
  • 6 เส้น ราคาประมาณ 18,000 บาท
  • 10 เส้น ราคาประมาณ 25,000 บาท

รู้ไว้ก่อนทำ! เข็มร้อยไหมต่างกันอย่างไร

เข็มที่ใช้สำหรับร้อยไหมมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่น และข้อดี-ข้อเสียที่ต่างกันไป ดังนี้

เข็มแหลม

เข็มแหลมมีลักษณะปลายเข็มแหลม เมื่อร้อยไหมเข็มจะตัดผ่านเนื้อได้ง่าย ทำให้เจ็บน้อยกว่า มีโอกาสเกิดการบวมน้อยกว่า และสามารถควบคุมความแม่นยำได้ดีกว่า หากตัดผ่านเส้นเลือดเล็กๆ จะสมานได้ไวกว่าการใช้เข็มทู่ แต่หากโดนเส้นเลือดใหญ่อาจทำให้เกิดอาการบวมเลือด หรือบวมช้ำได้เล็กน้อย เหมาะกับการใช้ร้อยไหมเส้นเรียบ หรือไหมคอลลาเจน และเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังค่อนข้างหนา รวมถึงผู้ที่เคยผ่าตัด มีรอยแผลเป็นหลุมสิวเยอะ หรือผิวบริเวณที่ร้อยไหมมีพังผืดเยอะ ทำให้ร้อยไหมแบบเข็มปลายทู่ได้ยาก

เข็มทู่

เข็มทู่มีลักษณะปลายเข็มทู่มน เมื่อร้อยไหมเข็มจะตัดผ่านเนื้อโดยการฉีกออกคล้ายใช้มีดทื่อๆ ตัด อาจทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าเข็มแหลม และมีโอกาสเกิดการบวมน้ำมากกว่าบวมเลือด เนื่องจากสามารถหลบเส้นเลือดใหญ่ได้ แต่ยังอาจโดนเส้นเลือดเล็กๆ ทำให้หลังร้อยไหมจึงอาจมีเลือดออกได้ นอกจากนี้ เนื่องจากเข็มปลายทู่จะผ่านเข้าไปใต้ผิวได้ยาก ทำให้ช่องแนวไหมไม่กว้าง เงี่ยงไหมจึงเกาะกับผิวได้ค่อนข้างแน่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง และผิวหนังมีความหย่อนคล้อย

เข็มตัด

เข็มตัด หรือเข็มทู่แบบตัด มีลักษณะปลายเข็มคล้ายหลอด มีความคมแต่ไม่แหลมเท่าเข็มแหลม ทำให้เมื่อร้อยไหมเข้าไปจะช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ลดโอกาสในการบาดเจ็บของเส้นเลือด และลดอาการบวมช้ำได้ดีมากกว่าเข็มทู่ แต่เข็มตัดยังคงคุณสมบัติแบบเข็มทู่เอาไว้ คือ การร้อยไหมผ่านใต้ผิวหนังจะทำให้ช่องแนวของเส้นไหมไม่กว้างมาก ทำให้เส้นไหมเกาะกับผิวหนังได้ดี ช่วยลดโอกาสในการเกิดริ้วไหมได้

เข็มรูปตัวแอล (L)

เข็มรูปตัวแอลมีลักษณะปลายเข็มคล้ายเข็มปลายทู่ที่โดนตัดครึ่งจนคล้ายตัว L ทำให้มีความคมมากกว่าเข็มปลายทู่ เหมาะสำหรับการร้อยไหมเส้นใหญ่ๆ ที่ต้องร้อยในชั้นผิวหนังที่ค่อนข้างลึก เพื่อลดการทำลายเนื้อเยื่อของผิวชั้นลึก

ข้อควรปฏิบัติก่อน และหลังร้อยไหม

ผู้ที่ต้องการร้อยไหมควรทำการศึกษาข้อควรปฏิบัติก่อน และหลังการร้อยไหมเพื่อผลลัพธ์ที่ดี มีประสิทธิภาพ และอยู่ได้นานยิ่งขึ้น โดยสามารถทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

การเตรียมตัวก่อนร้อยไหม

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการร้อยไหมอย่างละเอียด เช่น การเลือกคลินิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคนิคการทำ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว และปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อวางแผนการรักษา
  • แจ้งประวัติการแพ้ยา วิตามิน และยาที่ทานประจำ รวมถึงโรคประจำตัว
  • ควรงดยา และวิตามินที่มีผลต่อการต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, Ginseng, และVitamin E ก่อนร้อยไหมประมาณ 1 สัปดาห์
  • งดการแว็กซ์ผิว ผลัดเซลล์ผิว การถอน หรือโกนขนบริเวณนั้นๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนทำการร้อยไหม
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด 24 ชั่วโมงก่อนร้อยไหม

การดูแลตัวเองหลังร้อยไหม

  • หลังร้อยเสร็จทันที โดยปกติอาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำในจุดที่ร้อยไหมได้ โดยอาการบวมแดง หรือรอยช้ำจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน
  • ห้ามแกะ เกา สัมผัส หรือกดนวดใบหน้าบริเวณที่ร้อยไหม
  • ทานยาแก้ปวด เพื่อลดบวมหลังร้อยไหม
  • ช่วง 3 วันแรก ไม่ควรขยับบริเวณที่ร้อยไหมเยอะ เพราะอาจทำให้ไหมเคลื่อนที่ผิดตำแหน่งได้
  • งดทำหัตถการอื่นๆ ที่ใช้ความร้อนบริเวณที่ร้อยไหม เช่น การยิงเลเซอร์ เป็นเวลา 2 เดือน
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกี่ยวกับความร้อน หรือโดนแดดโดยตรง เช่น การอบซาวน่า การทานปิ้งย่าง หรือการเล่นกีฬากลางแจ้ง
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ อาหารเผ็ด อาหารดิบ อาหารหมักดอง และอาหารรสหวานจัด ประมาณ 14 วัน (หรืออย่างน้อย 2 วัน)

ร้อยไหมมีข้อดี และข้อเสียอย่างไร

การทำหัตถการเพื่อช่วยบำรุงรักษาผิว ย่อมมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย การร้อยไหมก็เช่นกัน โดยการร้อยไหมมีข้อดี และข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของการร้อยไหม

  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ ผิวตึงยกกระชับขึ้น
  • กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และเส้นใยอีลาสตินตามธรรมชาติที่ช่วยกระชับผิว และช่วยให้ผิวสุขภาพดี
  • ไหมละลายที่ใช้ในการร้อยไหมมีความปลอดภัย ทำจากวัสดุ PDO (Polydioxanone), PLLA (Polylactate), และ PCL (Polycaprolactone) ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานสากล
  • ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องแก้มตอบ โดยการใช้ไหมดึงยกไขมันจากแก้มส่วนล่างขึ้นมาเติมด้านบนได้
  • ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัด

ข้อเสียของการร้อยไหม

  • หากร้อยไหมกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือทำด้วยเทคนิคที่ไม่เหมาะสม ร้อยไหมตื้น หรือลึกเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา เช่น รอยบุ๋มตามแนวร้อยไหม
  • การร้อยไหมจำนวนเส้นมากเกินไป ใช้เส้นไหม และเข็มร้อยไหมไม่ถูกวิธี หรือผิดรูปอาจทำให้เส้นใยเกิดการซ้อนทับกันจนเกิดเป็นพังผืดได้

เลือกร้อยไหมที่ไหนดี เลือกให้ดีก่อนทำ

ก่อนตัดสินใจทำการร้อยไหม ควรเลือกคลินิก หรือสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข โดยต้องมีใบรับรองชัดเจน และมีความน่าเชื่อถือ รวมถึงมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทำการรักษา อย่าง DR.GARN CLINIC ที่ให้บริการหัตถการร้อยไหม ไม่ว่าจะเป็นการร้อยไหมหน้าเรียวสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว ยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย เสริมคอลลาเจน ลดริ้วรอย หรือร้อยไหมจมูกเพื่อเสริมหรือปรับจมูกให้สวยได้รูปโดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลเร็ว โดยสามารถดูได้จาก รีวิวการร้อยไหม เพิ่มเติมเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจได้

สรุป

การร้อยไหม คือ หัตถการที่เป็นที่นิยมในการช่วยยกกระชับผิว แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเส้นใยอีลาสติน ลดริ้วรอย ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวได้รูป รวมไปถึงร้อยไหมจมูกที่ช่วยให้จมูกโด่งคมมากขึ้น เห็นผลลัพธ์ได้เร็ว ปลอดภัย โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งในการร้อยไหมควรศึกษา และทำตามข้อควรปฏิบัติทั้งก่อน และหลังทำ หรือตามคำแนะนำแพทย์เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ และคงอยู่ได้ยาวนาน

ร้อยไหมเจ็บไหม

เนื่องจากมีการฉีดยาชาช่วยให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำการร้อยไหม แต่อาจรู้สึกถึงเส้นไหมที่ถูกร้อยเข้าไป และอาจมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อยหลังยาชาหมดฤทธิ์ ซึ่งสามารถทานยาแก้ปวดเพื่อช่วยลดอาการได้

ก่อนร้อยไหมฉีดยาชาหรือไม่

มีการฉีดยาชาให้ก่อนทำการร้อยไหมทุกครั้ง

ผลข้างเคียงของการร้อยไหม

อาจมีอาการบวม หรือเขียวช้ำบริเวณที่ทำการร้อยไหม โดยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และสามารถหายเองได้ ภายใน 7-14 วัน

ร้อยไหมอยู่ได้กี่เดือน

ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ โดย PCL (Polycaprolactone) อยู่ได้ประมาณ 1 ปี, PLLA (Polylactate) อยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน, และ PDO (Polydioxanone) อยู่ได้ประมาณ 4-5 เดือน และขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน

ร้อยไหมแล้วหน้าบุ๋มเกิดจากอะไร

เกิดจากการร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง ร้อยไหมตื้นเกินไป หรือดึงไหมตึงมากจนเกินไป ทำให้เกิดรอยบุ๋มตามแนวร้อยไหมได้